---------------------------------------------------------------------------------------------------------

กฎหมายคือ

ความหมายของ "กฎหมาย"
กฎหมายเป็นกฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม และใช้กำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือระหว่างบุคคลกับรัฐ

องค์ ประกอบสำคัญที่ทำให้กฎหมายมีสภาพแตกต่างจากศีลธรรมก็คือ กฎหมายจะต้องเป็นคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์ที่มีสภาพบังคับให้ต้องกระทำตาม กฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืน ตามธรรมดาย่อมต้องโทษ

นิยามของคำว่ากฎหมาย ดังกล่าวข้างต้นได้รับอิทธิพลจาก “สำนักกฎหมายบ้านเมือง (Positive Law School)” ซึ่งมีเชื่อว่า “กฎหมายนั้นคือคำสั่งของรัฐ” โดย Thomas Hobbes นักปรัชญาเมธีคนสำคัญของสำนักกฎหมายบ้านเมืองได้อธิบายว่า “การอยู่ร่วมกันในสังคมเกิดจาก การที่แต่ละคนมีลักษณะเดียรฉานที่มีการทำร้ายต่อสู้กันตลอดเวลา

ดัง นั้นประชาชนจึงทำสัญญาประชาคมยกอำนาจให้รัฏฐาธิปัตย์ และการมอบอำนาจของเขาเป็นการมอบอำนาจแบบสวามิภักดิ์ คือ มอบอำนาจให้รัฏฐาธิปัตย์โดยเด็ดขาด”

ทั้งนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์) พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ซึ่งได้รับการศึกษาวิชากฎหมายจากประเทศอังกฤษ จึงได้นำแนวคิดนี้สู่โรงเรียนกฎหมายไทย โดยพระองค์ฯ ได้อธิบายนิยามของกฎหมายไว้ว่า “เราจะต้องระวังอย่าคิดเอากฎหมายไปปนกับความดีความชั่วฤาความยุติธรรม กฎหมายเป็นคำสั่งเป็นแบบที่เราจะต้องประพฤติตาม แต่กฎหมายนั้นบางทีก็จะชั่วได้ ฤาไม่ยุติธรรมก็ได้ ความคิดว่าอะไรดี อะไรชั่วฤา อะไรเป็นยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม มีบ่อที่จะเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่นตามศาสนาต่าง ๆ แต่กฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้แห่งเดียว คือจากผู้ปกครองแผ่นดิน ฤาที่ผู้ปกครองแผ่นดินอนุญาตเท่านั้น”

ดัง นั้น สามารถสรุปลักษณะที่สำคัญของกฎหมายตามแนวคิดสำนักกฎหมายบ้านเมืองได้ดังนี้

1. ต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผน (Norm) กล่าวคือ เป็นกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติของคนในสังคม ใช้เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าการกระทำอย่างไร ผิดหรือถูก

2. กฎหมายต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่มีกระบวนการบังคับใช้ที่เป็นกิจจะลักษณะ คือ มีการกำหนดบทลงโทษ


นอกจากสำนักกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ยังมีสำนักแนวคิดทางกฎหมายอีกหลายสำนักได้ให้คำนิยามของคำว่ากฎหมายไว้ โดยสำนักความคิดทางกฎหมายอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ เช่น


สำนัก กฎหมายธรรมชาติ(School of Natural Law)

แนวคิดนี้เชื่อ ว่า กฎหมายมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ (harmonious with nature) มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างกฎหมาย (Enacted Law) กฎหมายที่ดีต้องไม่ละเมิดกฎของพระเจ้า มีลักษณะคงทนถาวร ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร Cicero นักปรัชญาเมธีสำคัญของสำนักกฎหมายธรรมชาติ เคยกล่าววลีที่เสมือนรากฐานของแนวคิดนี้ว่า "True Law is right reason, harmonious with nature, diffuse among all, constant, eternal..." ดังนั้น การใช้กฎหมายย่อมเป็นไปตามเหตุผลที่เป็นธรรมชาติตามปกติ ผู้มีอำนาจไม่มีสิทธิสร้างความยุติธรรมโดยกฎหมายของตนเองได้
ข้อควรรู้ สำนักกฎหมายบ้านเมืองเกิดขึ้นภายหลังสำนักกฎหมายธรรมชาติ สำนักกฎหมายบ้านเมืองเกิดยุคที่ยุโรปเริ่มจัดทำกฎหมายในประเทศฝรั่งเศสและ เยอรมัน มีนักปรัชญาหลายท่านปฏิเสธหลักกฎหมายธรรมชาติ และสร้างหลักที่ว่ามนุษย์ต่างหากเป็นผู้สร้างกฎหมายขึ้นบังคับใช้ในสังคม

สำนัก กฎหมายประวัติศาสตร์ (School of History Law)

แนวคิดนี้ เชื่อว่า“กฎหมายคือผลผลิตจากความเป็นไปในทางประวัติศาสตร์” ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สิ่งสำคัญอีกประการคือระบบกฎหมายต้องมีลักษณะกลมกลืนและสอดคล้องกับระบบการ เมืองการปกครองและระบบเศรษฐกิจ

สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นควบคู่กับสำนักกฎหมายบ้านเมือง ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ไม่ยอมรับหลักที่ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างกฎหมาย แต่กฎหมายนั้นเกิดขึ้นจาก “จิตใจของประชาชาติ” (Volksgeist) ซึ่งหมายถึงความรู้สึกนึกคิดของชนชาติตั้งแต่ดั้งเดิมเริ่มต้นก่อตั้งชาติ นั้นและวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา กฎหมายจึงเป็นผลผลิตจากความเป็นไปในทางประวัติศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น: